พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่5) 18
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่5) 18
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยมหาราช
สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ (ขวา) ยืนข้างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนเครื่องแบบทหารเรือ
![]() |
รัชกาลที่5 พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุจุฬาลงฺกรโณ |
![]() |
รัชกาที่5 ทรงบรมราชาภิเษกครั้งที่สอง |
![]() |
ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์กับสมเด็จพระนางเจ้าสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ |
*** พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (วันที่20 เดือนกันยายน พ.ศ.2396 – วันที่23 เดือนตุลาคม พ.ศ.2453) เป็นพระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร เดือน10 แรม 3ค่ำ ปีฉลู ตรงกับวันที่20 เดือนกันยายน พ.ศ.2396 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระองค์ที่1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสวยราชสมบัติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11ขึ้น 15ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ.2411 สด็จสวรรคต เมื่อวันอาทิตย์ เดือน11 แรม 4ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่23 เดือนตุลาคม พ.ศ.2453 ด้วย โรคพระวักกะ
สมเด็จพระเจ้ากรุงสยาม รัชกาลที่5
*** ครองราชย์ วันที่1 เดือนตุลาคม พ.ศ.2411 – วันที่23 เดือนตุลาคม พ.ศ.2453*** ราชาภิเษก วันที่11 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2411 (ครั้งที่ 1) วันที่16 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2416 (ครั้งที่2) พระบรมมหาราชวัง
*** ก่อนหน้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ถัดไป พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
*** ผู้สำเร็จราชการ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) (พ.ศ.2411 – พ.ศ.2416)
***สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี (พ.ศ.2440)
***สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร (พ.ศ.2450)
*** อัครมเหสี สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี
*** สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี
*** สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ
*** พระราชบุตร 97 พระองค์
*** วัดประจำรัชกาลวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
*** ราชวงศ์ ราชวงศ์จักรี
*** พระราชบิดา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
*** พระราชมารดา สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี
*** พระราชสมภพ วันที่20 เดือนกันยายน พ.ศ.2396
พระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระพุทธรูปปางขัดสมาธิเพชร พระเกตุมาลาเป็นเปลวเพลิง เหนือพระเศียรกางกั้นด้วยฉัตรปรุทอง 3 ชั้น สร้างราว พ.ศ. 2453-2468 หน้าตักกว้าง 7.2 นิ้ว สูงเฉพาะองค์พระ 11.8เซนติเมตร สูงรวมฉัตร 47.3 เซนติเมตร
เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรื่องยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.) (ฝ่ายหน้า)
*** พ.ศ.2411
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ (น.ร.) (ฝ่ายหน้า)
*** พ.ศ.2443
เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่1 ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ (ป.จ.ว.)
*** พ.ศ.2452
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
*** พ.ศ.2412
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)
*** พ.ศ.2425
เหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการในพระองค์ (ร.ด.ม.(พ)
*** อัครมเหสี สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี
*** สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี
*** สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ
*** พระราชบุตร 97 พระองค์
*** วัดประจำรัชกาลวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
*** ราชวงศ์ ราชวงศ์จักรี
*** พระราชบิดา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
*** พระราชมารดา สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี
*** พระราชสมภพ วันที่20 เดือนกันยายน พ.ศ.2396
*** พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ เมืองพระนคร ประเทศสยาม
*** สวรรคต วันที่23 เดือนตุลาคม พ.ศ.2453 (พระชนมายุ 57พรรษา)
*** พระที่นั่งอัมพรสถาน เมืองพระนคร ประเทศสยาม
*** ศาสนา ศาสนาพุทธ
*** บรรจุพระบรมอัฐิ พระวิมานทองกลาง บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
*** สวรรคต วันที่23 เดือนตุลาคม พ.ศ.2453 (พระชนมายุ 57พรรษา)
*** พระที่นั่งอัมพรสถาน เมืองพระนคร ประเทศสยาม
*** ศาสนา ศาสนาพุทธ
*** บรรจุพระบรมอัฐิ พระวิมานทองกลาง บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
*** พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร เดือน 10แรม 3ค่ำ ปีฉลู เบญจศก จ.ศ. 1215 (ตรงกับวันที่20 เดือนกันยายน พ.ศ.2396) เพลาก่อนทุ่มหนึ่งบาตรหนึ่ง เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่ พระนางเธอ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ (ในรัชกาลที่6 ได้มีการสถาปนาพระบรมอัฐิเป็นสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี) ครั้งนั้นพระบรมวงศานุวงศ์เสนาบดีเข้าชื่อกันกราบบังคมทูลว่า ทุกวันนี้เจ้าฟ้าก็ไม่มีเหมือนแต่ก่อน ขอให้ยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้าอย่างสมัยก่อน จึงพระราชทานพระนามว่า เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ถึงวันที่21 เดือนมีนาคม พ.ศ.2404 จึงได้รับพระราชทานสุพรรณบัฏจารึกพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเจ้ากรมเป็นหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ ซึ่งคำว่า จุฬาลงกรณ์ นั้นแปลว่า เครื่องประดับผม อันหมายถึง พระเกี้ยว ที่มีรูปเป็นส่วนยอดของพระมหามงกุฎหรือยอดชฎา
*** พระองค์มีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดารวม 3พระองค์ ได้แก่ 1. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล โสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ 2. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ 3. สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
*** พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการศึกษาเบื้องต้นในสำนัก พระเจ้าอัยยิกาเธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา ทรงได้รับการศึกษาด้านอักษรศาสตร์ ภาษาเขมรจากหลวงราชาภิรมย์ ทรงได้การศึกษาการยิงปืนไฟจากพระยาอภัยเพลิงศร
*** วันพฤหัสบดีที่4 เดือนมกราคม พ.ศ.2408 (นับแบบปัจจุบันเป็น พ.ศ.2409) โปรดให้โสกันต์สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ แล้วทรงผนวชเป็นสามเณร ณ.พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันพฤหัสบดีที่19 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2409 ได้ถวายเทศนามหาชาติกัณฑ์สักรบรรพ ณ.พระที่นั่งทรงธรรม เมื่อวันอังคารที่23 เดือนตุลาคม ภายหลังจากการผนวช โปรดให้ตั้งพิธีเลื่อนสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ขึ้นเป็น กรมขุนพินิตประชานารถ เมื่อวันอาทิตย์ที่15 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2410 (นับแบบปัจจุบันเป็น พ.ศ.2411) โดยทรงกำกับราชการกรมมหาดเล็ก กรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมทหารบกวังหน้า
*** พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษรัตนราชรวิวงศ วรุตมพงศบริพัตร์ วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวรราชรามวรังกูร สุภาธิการรังสฤษดิ์ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดม บรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยวิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินทร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหสวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทร มหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตยรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว"
*** พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ มหามงกุฎราชวรางกูร สุจริตมูลสุสาธิต อรรคอุกฤษฏไพบูลย์ บุรพาดูลย์กฤษฎาภินิหาร สุภาธิการรังสฤษดิ์ ธัญลักษณวิจิตร โสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณต บาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดมบรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขมาตยาภิรมย์ อุดมเดชาธิการ บริบูรณ์คุณสารสยามาทินครวรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินธร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"
สวรรคต
*** พระองค์มีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดารวม 3พระองค์ ได้แก่ 1. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล โสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ 2. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ 3. สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
*** พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการศึกษาเบื้องต้นในสำนัก พระเจ้าอัยยิกาเธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา ทรงได้รับการศึกษาด้านอักษรศาสตร์ ภาษาเขมรจากหลวงราชาภิรมย์ ทรงได้การศึกษาการยิงปืนไฟจากพระยาอภัยเพลิงศร
*** วันพฤหัสบดีที่4 เดือนมกราคม พ.ศ.2408 (นับแบบปัจจุบันเป็น พ.ศ.2409) โปรดให้โสกันต์สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ แล้วทรงผนวชเป็นสามเณร ณ.พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันพฤหัสบดีที่19 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2409 ได้ถวายเทศนามหาชาติกัณฑ์สักรบรรพ ณ.พระที่นั่งทรงธรรม เมื่อวันอังคารที่23 เดือนตุลาคม ภายหลังจากการผนวช โปรดให้ตั้งพิธีเลื่อนสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ขึ้นเป็น กรมขุนพินิตประชานารถ เมื่อวันอาทิตย์ที่15 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2410 (นับแบบปัจจุบันเป็น พ.ศ.2411) โดยทรงกำกับราชการกรมมหาดเล็ก กรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมทหารบกวังหน้า
บรมราชาภิเษกครั้งที่ 1
*** วันที่1 เดือนตุลาคม พ.ศ.2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตภายหลังเสด็จออกทอดพระเนตรสุริยุปราคา วันที่18 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2411 โดยก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคตนั้น ได้มีพระราชหัตถเลขาไว้ว่า พระราชดำริทรงเห็นว่า เจ้านายซึ่งจะสืบพระราชวงศ์ต่อไปภายหน้า พระเจ้าน้องยาเธอก็ได้ พระเจ้าลูกยาเธอก็ได้ พระเจ้าหลานเธอก็ได้ ให้ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ปรึกษากันจงพร้อม สุดแล้วแต่จะเห็นดีพร้อมกันเถิด ท่านผู้ใดมีปรีชาควรจะรักษาแผ่นดินได้ก็ให้เลือกดูตามสมควร ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรคต จึงได้มีการประชุมปรึกษาเรื่องการถวายสิริราชสมบัติแด่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ซึ่งในที่ประชุมนั้นประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และพระสงฆ์ โดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ ได้เสนอสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งที่ประชุมนั้นมีความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ ดังนั้น พระองค์จึงได้รับการทูลเชิญให้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบิดา โดยในขณะนั้น มีพระชนมายุเพียง 15พรรษา ดังนั้น จึงได้แต่งตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนกว่าพระองค์จะมีพระชนมพรรษครบ 20พรรษา โดยทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เมื่อวันที่11 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2411 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฎว่า*** พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษรัตนราชรวิวงศ วรุตมพงศบริพัตร์ วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวรราชรามวรังกูร สุภาธิการรังสฤษดิ์ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดม บรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยวิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินทร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหสวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทร มหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตยรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว"
ผนวชและบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2
*** เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 20พรรษาแล้ว เมื่อวันที่15 เดือนกันยายน พ.ศ.2416 จึงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วเสด็จไปประทับ ณ.วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นเวลา 15วัน หลังจากทรงลาสิกขาแล้ว ได้มีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ขึ้น เมื่อวันที่16 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2416 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยในครั้งนี้ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฎว่า*** พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ มหามงกุฎราชวรางกูร สุจริตมูลสุสาธิต อรรคอุกฤษฏไพบูลย์ บุรพาดูลย์กฤษฎาภินิหาร สุภาธิการรังสฤษดิ์ ธัญลักษณวิจิตร โสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณต บาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดมบรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขมาตยาภิรมย์ อุดมเดชาธิการ บริบูรณ์คุณสารสยามาทินครวรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินธร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"
สวรรคต
*** พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระวักกะ (ไต) เมื่อวันที่23 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2453 เวลา 2.45 นาฬิกา ณ.พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สิริพระชนมพรรษาได้ 57 พรรษา นายแพทย์วิบูล วิจิตรวาทการ นักเขียนเชิงประวัติศาสตร์ ได้ให้ความเห็นระบุโรคที่เป็นไปได้ คือ โรคนิ่วในไต โรคไตอักเสบ จากการติดเชื้อ และโรคไตชนิด Chronic Glomerulonephritis อันเกิดจาก ต่อมทอนซิลอักเสบฉับพลัน อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นโรคไตชนิดใด ทั้งนี้ รัฐบาลไทย ได้จัดให้วันที่23 เดือนตุลาคม ของทุกปี เป็นวันปิยมหาราชและเป็นวันหยุดราชการ
*** ก่อนสวรรคตเคยมีพระราชกระแสรับสั่งในพระราชหัตถเลขาว่าให้ยกเลิกการพระเมรุใหญ่เสีย ปลูกแต่ที่เผาพอสมควรในท้องสนามหลวงแล้วแต่จะเห็นสมควร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคารพต่อพระราชประสงค์ จึงโปรดให้จัดการตามพระราชดำรินั้น
*** พระราชกรณียกิจด้านสังคม ทรงยกเลิกระบบไพร่ โดยให้ไพร่เสียเงินแทนการถูกเกณฑ์ นับเป็นการเกิดระบบทหารอาชีพในประเทศไทย นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงเลิกทาสแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากออกกฎหมายให้ลูกทาสอายุครบ 20 ปีเป็นอิสระ จนกระทั่งออกพระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.124 (พ.ศ. 2448) ซึ่งปล่อยทาสทุกคนให้เป็นอิสระและห้ามมีการซื้อขายทาส
*** ประการแรก ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้นมาสองสภา ได้แก่ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (เคาน์ซิลออฟสเตต) และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (ปรีวีเคาน์ซิล) ในปี พ.ศ.2417 และทรงตั้งขุนนางระดับพระยา 12นายเป็น เคาน์ซิลลอร์ ให้มีอำนาจขัดขวางหรือคัดค้านพระราชดำริได้ และทรงตั้งพระราชวงศานุวงศ์ 13พระองค์ และขุนนางอีก 36นาย ช่วยถวายความคิดเห็นหรือเป็นกรรมการดำเนินการต่างๆ แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนา) ขุนนางสกุลบุนนาคและ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เห็นว่าสภาที่ปรึกษาเป็นความพยายามดึงพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้เกิดความขัดแย้งที่เรียกว่า วิกฤตการณ์วังหน้า วิกฤตการณ์ดังกล่าวทำให้การปฏิรูปการปกครองชะงักลงกระทั่ง พ.ศ.2428
*** พ.ศ.2427 ทรงปรึกษากับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์อัครราชทูตไทยประจำอังกฤษ ซึ่งพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ พร้อมเจ้านายและข้าราชการ 11นาย ได้กราบทูลเสนอให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่พระองค์ทรงเห็นว่ายังไม่พร้อม แต่ก็โปรดให้ทรงศึกษารูปแบบการปกครองแบบประเทศตะวันตก และ พ.ศ.2431 ทรงเริ่มทดลองแบ่งงานการปกครองออกเป็น 12กรม (เทียบเท่ากระทรวง)
*** พ.ศ.2431 ทรงตั้ง เสนาบดีสภา หรือ ลูกขุน ณ ศาลา ขึ้นเป็นฝ่ายบริหาร ต่อมาใน พ.ศ.2435 ได้ตั้งองคมนตรีสภาเดิมเรียกสภาที่ปรึกษาในพระองค์ เพื่อวินิจฉัยและทำงานให้สำเร็จ และรัฐมนตรีสภา หรือ ลูกขุน ณ ศาลาหลวง ขึ้นเพื้อปรึกษาราชการแผ่นดินที่เกี่ยวกับกฎหมาย นอกจากนี้ยังทรงจัดให้มี การชุมนุมเสนาบดี อันเป็นการประชุมปรึกษาราชการที่มุขกระสัน พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
*** ด้วยความพอพระทัยในผลการดำเนินงานของกรมทั้งสิบสองที่ได้ทรงตั้งไว้เมื่อ พ.ศ.2431 แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นอย่างเป็นทางการจำนวน 12กระทรวง เมื่อวันที่1 เดือนเมษายน พ.ศ.2435 อันประกอบด้วย
1. กระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบงานที่เดิมเป็นของสมุหนายก ดูแลกิจการพลเรือนทั้งหมดและบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและชายทะเลตะวันออก
2. กระทรวงนครบาล รับผิดชอบกิจการในพระนคร
3. กระทรวงโยธาธิการ รับผิดชอบการก่อสร้าง
4. กระทรวงธรรมการ ดูแลการศาสนาและการศึกษา
5. กระทรวงเกษตรพานิชการ รับผิดชอบงานที่ในปัจจุบันเป็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์
6. กระทรวงยุติธรรม ดูแลเรื่องตุลาการ
7 .กระทรวงมรุธาธร ดูแลเครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์
8. กระทรวงยุทธนาธิการ รับผิดชอบปฏิบัติการการทหารสมัยใหม่ตามแบบยุโรป
9. กระทรวงพระคลังสมบัติ รับผิดชอบงานที่ในปัจจุบันเป็นของกระทรวงการคลัง
10. กระทรวงการต่างประเทศ (กรมท่า) รับผิดชอบการต่างประเทศ
11. กระทรวงกลาโหม รับผิดชอบกิจการทหาร และบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้
12. กระทรวงวัง รับผิดชอบกิจการพระมหากษัตริย์
*** หลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ.2436) ทรงให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบกิจการพลเรือนเพียงอย่างเดียว และให้กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบกิจการทหารเพียงอย่างเดียว ยุบกรม 2กรม ได้แก่ กรมยุทธนาธิการ โดยรวมเข้ากับกระทรวงกลาโหม และกรมมรุธาธร โดยรวมเข้ากับกระทรวงวัง และเปลี่ยนชื่อกระทรวงเกษตรพานิชการ เป็น กระทรวงเกษตราธิการ ด้านการปกครองส่วนภูมิภาค มีการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ทำให้ไทยกลายมาเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ โดยการลดอำนาจเจ้าเมือง และนำข้าราชการส่วนกลางไปประจำแทน ทรงทำให้นครเชียงใหม่ (พ.ศ. 231 7– 2442) รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ตลอดจนทรงแต่งตั้งให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ไปประจำที่อุดรธานี เป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองแบบเทศาภิบาล
*** พ.ศ.2437 ทรงกำหนดให้เทศาภิบาลขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ยกเลิกระบบกินเมือง และระบบหัวเมืองแบบเก่า ได้แก่ หัวเมืองชั้นใน ชั้นนอก และเมืองประเทศราช จัดเป็นมณฑล เมือง อำเภอ หมู่บ้าน ระบบเทศาภิบาลดังกล่าวทำให้สยามกลายเป็นรัฐชาติที่มั่นคง มีเขตแดนที่ชัดเจนแน่นอน นับเป็นการรักษาเอกราชของประเทศ และทำให้ราษฎรมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
*** พระองค์ยังได้ส่งเจ้านายหลายพระองค์ไปศึกษาในทวีปยุโรป เพื่อมาดำรงตำแหน่งสำคัญในการปกครองที่ได้รับการปฏิรูปใหม่นี้ และทรงจ้างชาวต่างประเทศมารับราชการในตำแหน่งที่คนไทยยังไม่เชี่ยวชาญ ทรงตั้งสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศที่ท่าฉลอม พ.ศ.2448
*** ก่อนสวรรคตเคยมีพระราชกระแสรับสั่งในพระราชหัตถเลขาว่าให้ยกเลิกการพระเมรุใหญ่เสีย ปลูกแต่ที่เผาพอสมควรในท้องสนามหลวงแล้วแต่จะเห็นสมควร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคารพต่อพระราชประสงค์ จึงโปรดให้จัดการตามพระราชดำรินั้น
พระราชกรณียกิจ
*** พระราชกรณียกิจที่สำคัญของรัชกาลที่5 ได้แก่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการเลิกทาสและไพร่ในประเทศไทย การป้องกันการเป็นอาณานิคมของ จักรวรรดิฝรั่งเศสและจักรวรรดิอังกฤษ ได้มีการประกาศออกมาให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในประเทศ โดยบุคคลศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ได้มีการนำระบบจากทางยุโรปมาใช้ในประเทศไทย ได้แก่ระบบการใช้ธนบัตรและเหรียญบาท ใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จังหวัด และอำเภอ และได้มีการสร้างรถไฟ สายแรก คือ กรุงเทพมหานคร ถึง อยุธยา ลงวันที่1 เดือนมีนาคม ร.ศ.109 ซึ่งตรงกับ พุทธศักราช2433 นอกจากนี้ได้มีงานพระราชนิพนธ์ ที่สำคัญ การก่อตั้งการประปา การไฟฟ้า ไปรษณีย์โทรเลข โทรศัพท์ การสื่อสาร การรถไฟ ส่วนการคมนาคม ให้มีการขุดคลองหลายแห่ง เช่น คลองประเวศบุรีรมย์ คลองประเวศบุรีรมย์ คลองสำโรง คลองแสนแสบ คลองนครเนื่องเขต คลองรังสิตประยูรศักดิ์ คลองเปรมประชากร และ คลองทวีวัฒนา ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองส่งน้ำประปา จากเชียงราก สู่สามเสน อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ซึ่งคลองนี้ส่งน้ำจากแหล่งน้ำดิบเชียงราก ผ่าน อำเภอสามโคก อำเภอเมืองปทุมธานี อำเภอคลองหลวง อำเภอธัญบุรีและ อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี อำเภอปากเกร็ด และ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และ เขตสายไหม เขตบางเขน เขตดอนเมือง เขตหลักสี่ เขตจตุจักร เขตบางซื่อ เขตดุสิต เขตพญาไท และ เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร*** พระราชกรณียกิจด้านสังคม ทรงยกเลิกระบบไพร่ โดยให้ไพร่เสียเงินแทนการถูกเกณฑ์ นับเป็นการเกิดระบบทหารอาชีพในประเทศไทย นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงเลิกทาสแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากออกกฎหมายให้ลูกทาสอายุครบ 20 ปีเป็นอิสระ จนกระทั่งออกพระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.124 (พ.ศ. 2448) ซึ่งปล่อยทาสทุกคนให้เป็นอิสระและห้ามมีการซื้อขายทาส
การปฏิรูปการปกครอง
*** พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงการคุกคามจากจักรวรรดินิยม ตะวันตกที่มีต่อประเทศในแถบเอเชีย โดยมักอ้างความชอบธรรมในการเข้ายึดครองดินแดนแถบนี้ว่าเป็นการทำให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าอันเป็น ภาระของคนขาว ทำให้ต้องทรงปฏิรูปบ้านเมืองให้ทันสมัย โดยพระราชกรณียกิจดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2416*** ประการแรก ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้นมาสองสภา ได้แก่ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (เคาน์ซิลออฟสเตต) และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (ปรีวีเคาน์ซิล) ในปี พ.ศ.2417 และทรงตั้งขุนนางระดับพระยา 12นายเป็น เคาน์ซิลลอร์ ให้มีอำนาจขัดขวางหรือคัดค้านพระราชดำริได้ และทรงตั้งพระราชวงศานุวงศ์ 13พระองค์ และขุนนางอีก 36นาย ช่วยถวายความคิดเห็นหรือเป็นกรรมการดำเนินการต่างๆ แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนา) ขุนนางสกุลบุนนาคและ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เห็นว่าสภาที่ปรึกษาเป็นความพยายามดึงพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้เกิดความขัดแย้งที่เรียกว่า วิกฤตการณ์วังหน้า วิกฤตการณ์ดังกล่าวทำให้การปฏิรูปการปกครองชะงักลงกระทั่ง พ.ศ.2428
*** พ.ศ.2427 ทรงปรึกษากับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์อัครราชทูตไทยประจำอังกฤษ ซึ่งพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ พร้อมเจ้านายและข้าราชการ 11นาย ได้กราบทูลเสนอให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่พระองค์ทรงเห็นว่ายังไม่พร้อม แต่ก็โปรดให้ทรงศึกษารูปแบบการปกครองแบบประเทศตะวันตก และ พ.ศ.2431 ทรงเริ่มทดลองแบ่งงานการปกครองออกเป็น 12กรม (เทียบเท่ากระทรวง)
*** พ.ศ.2431 ทรงตั้ง เสนาบดีสภา หรือ ลูกขุน ณ ศาลา ขึ้นเป็นฝ่ายบริหาร ต่อมาใน พ.ศ.2435 ได้ตั้งองคมนตรีสภาเดิมเรียกสภาที่ปรึกษาในพระองค์ เพื่อวินิจฉัยและทำงานให้สำเร็จ และรัฐมนตรีสภา หรือ ลูกขุน ณ ศาลาหลวง ขึ้นเพื้อปรึกษาราชการแผ่นดินที่เกี่ยวกับกฎหมาย นอกจากนี้ยังทรงจัดให้มี การชุมนุมเสนาบดี อันเป็นการประชุมปรึกษาราชการที่มุขกระสัน พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
*** ด้วยความพอพระทัยในผลการดำเนินงานของกรมทั้งสิบสองที่ได้ทรงตั้งไว้เมื่อ พ.ศ.2431 แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นอย่างเป็นทางการจำนวน 12กระทรวง เมื่อวันที่1 เดือนเมษายน พ.ศ.2435 อันประกอบด้วย
1. กระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบงานที่เดิมเป็นของสมุหนายก ดูแลกิจการพลเรือนทั้งหมดและบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและชายทะเลตะวันออก
2. กระทรวงนครบาล รับผิดชอบกิจการในพระนคร
3. กระทรวงโยธาธิการ รับผิดชอบการก่อสร้าง
4. กระทรวงธรรมการ ดูแลการศาสนาและการศึกษา
5. กระทรวงเกษตรพานิชการ รับผิดชอบงานที่ในปัจจุบันเป็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์
6. กระทรวงยุติธรรม ดูแลเรื่องตุลาการ
7 .กระทรวงมรุธาธร ดูแลเครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์
8. กระทรวงยุทธนาธิการ รับผิดชอบปฏิบัติการการทหารสมัยใหม่ตามแบบยุโรป
9. กระทรวงพระคลังสมบัติ รับผิดชอบงานที่ในปัจจุบันเป็นของกระทรวงการคลัง
10. กระทรวงการต่างประเทศ (กรมท่า) รับผิดชอบการต่างประเทศ
11. กระทรวงกลาโหม รับผิดชอบกิจการทหาร และบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้
12. กระทรวงวัง รับผิดชอบกิจการพระมหากษัตริย์
*** หลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ.2436) ทรงให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบกิจการพลเรือนเพียงอย่างเดียว และให้กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบกิจการทหารเพียงอย่างเดียว ยุบกรม 2กรม ได้แก่ กรมยุทธนาธิการ โดยรวมเข้ากับกระทรวงกลาโหม และกรมมรุธาธร โดยรวมเข้ากับกระทรวงวัง และเปลี่ยนชื่อกระทรวงเกษตรพานิชการ เป็น กระทรวงเกษตราธิการ ด้านการปกครองส่วนภูมิภาค มีการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ทำให้ไทยกลายมาเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ โดยการลดอำนาจเจ้าเมือง และนำข้าราชการส่วนกลางไปประจำแทน ทรงทำให้นครเชียงใหม่ (พ.ศ. 231 7– 2442) รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ตลอดจนทรงแต่งตั้งให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ไปประจำที่อุดรธานี เป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองแบบเทศาภิบาล
*** พ.ศ.2437 ทรงกำหนดให้เทศาภิบาลขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ยกเลิกระบบกินเมือง และระบบหัวเมืองแบบเก่า ได้แก่ หัวเมืองชั้นใน ชั้นนอก และเมืองประเทศราช จัดเป็นมณฑล เมือง อำเภอ หมู่บ้าน ระบบเทศาภิบาลดังกล่าวทำให้สยามกลายเป็นรัฐชาติที่มั่นคง มีเขตแดนที่ชัดเจนแน่นอน นับเป็นการรักษาเอกราชของประเทศ และทำให้ราษฎรมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
*** พระองค์ยังได้ส่งเจ้านายหลายพระองค์ไปศึกษาในทวีปยุโรป เพื่อมาดำรงตำแหน่งสำคัญในการปกครองที่ได้รับการปฏิรูปใหม่นี้ และทรงจ้างชาวต่างประเทศมารับราชการในตำแหน่งที่คนไทยยังไม่เชี่ยวชาญ ทรงตั้งสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศที่ท่าฉลอม พ.ศ.2448
การเสด็จประพาสยุโรป
*** พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงเดินทางไปถึงทวีปยุโรป การเสด็จฯ เยือนครั้งประวัติศาสตร์ในปี2440 ถือเป็นทั้งเรื่องใหญ่และใหม่มากในสมัยนั้น การเสียดินแดนของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์เสียดินแดนให้ฝรั่งเศส
*** ครั้งที่ 1 เสียแคว้นเขมร (เขมรส่วยนอก) เนื้อที่ประมาณ 123, 050 ตารางกิโลเมตร และเกาะอีก 6เกาะ วันที่15 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2410
*** ครั้งที่ 2 เสียแคว้นสิบสองจุไทหัวพันห้าทั้งหก เมืองพวน แคล้นหลวงพระบาง แคว้นเวียงจันทน์ คำมวน และ แควันจำปาศักดิ์ฝั่งตะวันออก (หัวเมืองลาวทั้งหมด) โดยยึดเอาดินแดนสิบสองจุไทยและได้อ้างว่าดินแดนหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และนครจำปา และนครจำปาศักดิ์ เคยเป็นประเทศราชของญวฯและเขมรมาก่อน จึงบีบบังคับเอาดินแดนเพิ่มอีก เนื้อที่ประมาณ 321,000 ตารางกิโลเมตร วันที่27 เดือนมีนาคม พ.ศ.2431 ประเทศฝรั่งเศส ข่มเหงไทยอย่างรุนแรงโดยส่งเรือรบล่วงเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อถึง ป้อมพระจุลจอมเกล้าฝ่ายไทยยิงปืนไม่บรรจุกระสุน 3นัด เพื่อเตือนให้ออกไป แต่ทางฝรั่งเศสกลับระดมยิงปืนใหญ่เข้ามาเป็นอันมาก เกิดการรบกันพักหนึ่ง ในวันที่13 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2436 ฝรั่งเศสนำเรือรบมาทอดสมอ หน้าสถานทูตของตนในกรุงเทพฯ ได้สำเร็จ ทั้งนี้ ประเทศอังกฤษ ได้ส่งเรือรบเข้ามาลอยลำอยู่ 2ลำ ที่อ่าวไทยเช่นกัน แต่มิได้ช่วยปกป้องไทยแต่อย่างใด) ฝรั่งเศสยื่นคำขาดให้ไทย 3ข้อ ให้ตอบใน 48ชั่วโมง คือ
*** ครั้งที่ 2 เสียแคว้นสิบสองจุไทหัวพันห้าทั้งหก เมืองพวน แคล้นหลวงพระบาง แคว้นเวียงจันทน์ คำมวน และ แควันจำปาศักดิ์ฝั่งตะวันออก (หัวเมืองลาวทั้งหมด) โดยยึดเอาดินแดนสิบสองจุไทยและได้อ้างว่าดินแดนหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และนครจำปา และนครจำปาศักดิ์ เคยเป็นประเทศราชของญวฯและเขมรมาก่อน จึงบีบบังคับเอาดินแดนเพิ่มอีก เนื้อที่ประมาณ 321,000 ตารางกิโลเมตร วันที่27 เดือนมีนาคม พ.ศ.2431 ประเทศฝรั่งเศส ข่มเหงไทยอย่างรุนแรงโดยส่งเรือรบล่วงเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อถึง ป้อมพระจุลจอมเกล้าฝ่ายไทยยิงปืนไม่บรรจุกระสุน 3นัด เพื่อเตือนให้ออกไป แต่ทางฝรั่งเศสกลับระดมยิงปืนใหญ่เข้ามาเป็นอันมาก เกิดการรบกันพักหนึ่ง ในวันที่13 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2436 ฝรั่งเศสนำเรือรบมาทอดสมอ หน้าสถานทูตของตนในกรุงเทพฯ ได้สำเร็จ ทั้งนี้ ประเทศอังกฤษ ได้ส่งเรือรบเข้ามาลอยลำอยู่ 2ลำ ที่อ่าวไทยเช่นกัน แต่มิได้ช่วยปกป้องไทยแต่อย่างใด) ฝรั่งเศสยื่นคำขาดให้ไทย 3ข้อ ให้ตอบใน 48ชั่วโมง คือ
*** ให้ไทยใช้ค่าเสียหายสามล้านแฟรงค์ โดยจ่ายเป็นเหรียญนกจากเงินถุงแดง พร้อมส่งเช็คให้สถานทูตฝรั่งเศสแถวบางรัก
*** ให้ยกดินแดนบนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและเกาะต่าง ๆ ในแม่น้ำด้วย
*** ให้ถอนทัพไทยจากฝั่งแม่น้ำโขง ออกให้หมดและไม่สร้างสถานที่สำหรับการทหาร ในระยะ 25กิโลเมตร ทางฝ่ายไทยไม่ยอมรับในข้อ 2 ฝรั่งเศสจึงส่งกองทัพมาปิดอ่าวไทย เมื่อวันที่26 เดือนกรกฎาคม – วันที่3 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2436 และยึดเอาจังหวัดจันทบุรีกับจังหวัดตราดไว้ เพื่อบังคับให้ไทยทำตาม
ไทยเสียเนื้อที่ประมาณ 50,000 ตารางกิโลเมตร ให้แก่ฝรั่งเศส ในวันที่ 3 เดือนตุลาคม พ.ศ.2436 และฝรั่งเศสได้ยึดเอาจันทบุรีกับตราด ไว้ต่ออีก นานถึง 11ปี (พ.ศ.2436 – พ.ศ.2447) ปีพ.ศ.2446 ไทยต้องทำสัญญายกดินแดนให้ฝรั่งเศสอีก คือ ยกจังหวัดตราดและเกาะใต้แหลมสิงห์ลงไป มีเกาะช้างเป็นต้น ไปถึง ประจันตคีรีเขตร์ (เกาะกง) ดังนั้นฝรั่งเศสจึงถอนกำลังจากจังหวัดจันทบุรีไปตั้งที่จังหวัดตราดในปีพ.ศ.2447 วันที่23 มีเดือนนาคม พ.ศ.2449 ไทยต้องยกดินแดนมณฑลบูรพา คือเขมรส่วนใน ได้แก่เสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศสอีก ฝรั่งเศสจึงคืนจังหวัดตราดให้ไทย รวมถึงเกาะทั้งหลายจนถึเกาะกูด
*** รวมแล้วในคราวนี้ ไทยเสียเนื้อที่ประมาณ 66,555 ตารางกิโลเมตร และไทยเสียดินแดนอีกครั้งทางด้านขวาของแม่น้ำโขง คืออาณาเขตไชยบุรี และ จำปาศักดิ์ตะวันตก ในวันที่23 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2450
เสียดินแดน รัฐไทรบุรี รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู และรัฐปะลิส ให้อังกฤษ เมื่อ วันที่10 เดือนมีนาคม พ.ศ.2451 (นับอย่างใหม่ พ.ศ. 2452) เพื่อขอกู้เงิน 4ล้านปอนด์ทองคำอัตราดอกเบี้ย 4เปอร์เซ็น ต่อปี มีเวลาชำระหนี้ 40ปี
*** สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ (วันที่21 เดือนมีนาคม พ.ศ.2404 - วันที่15 เดือนมีนาคม พ.ศ.2410)
*** สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร กรมขุนพินิตประชานาถ (วันที่15 เดือนมีนาคม พ.ศ.2410 - วันที่11 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2411)
*** พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว (วันที่11 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2411 - วันที่16 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2416)
***พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (วันที่16 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2416 - วันที่23 เดือนตุลาคม พ.ศ.2453)
*** การสร้างพระลัญจกรประจำพระองค์นั้น จะใช้แนวคิดจากพระบรมนามาภิไธยก่อนทรงราชย์ นั่นคือ "จุฬาลงกรณ์" ซึ่งแปลว่า เครื่องประดับศีรษะ หรือ จุลมงกุฎ ดังนั้น จึงเลือกใช้ พระเกี้ยว หรือ จุลมงกุฎ มาใช้เป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์
*** ให้ยกดินแดนบนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและเกาะต่าง ๆ ในแม่น้ำด้วย
*** ให้ถอนทัพไทยจากฝั่งแม่น้ำโขง ออกให้หมดและไม่สร้างสถานที่สำหรับการทหาร ในระยะ 25กิโลเมตร ทางฝ่ายไทยไม่ยอมรับในข้อ 2 ฝรั่งเศสจึงส่งกองทัพมาปิดอ่าวไทย เมื่อวันที่26 เดือนกรกฎาคม – วันที่3 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2436 และยึดเอาจังหวัดจันทบุรีกับจังหวัดตราดไว้ เพื่อบังคับให้ไทยทำตาม
ไทยเสียเนื้อที่ประมาณ 50,000 ตารางกิโลเมตร ให้แก่ฝรั่งเศส ในวันที่ 3 เดือนตุลาคม พ.ศ.2436 และฝรั่งเศสได้ยึดเอาจันทบุรีกับตราด ไว้ต่ออีก นานถึง 11ปี (พ.ศ.2436 – พ.ศ.2447) ปีพ.ศ.2446 ไทยต้องทำสัญญายกดินแดนให้ฝรั่งเศสอีก คือ ยกจังหวัดตราดและเกาะใต้แหลมสิงห์ลงไป มีเกาะช้างเป็นต้น ไปถึง ประจันตคีรีเขตร์ (เกาะกง) ดังนั้นฝรั่งเศสจึงถอนกำลังจากจังหวัดจันทบุรีไปตั้งที่จังหวัดตราดในปีพ.ศ.2447 วันที่23 มีเดือนนาคม พ.ศ.2449 ไทยต้องยกดินแดนมณฑลบูรพา คือเขมรส่วนใน ได้แก่เสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศสอีก ฝรั่งเศสจึงคืนจังหวัดตราดให้ไทย รวมถึงเกาะทั้งหลายจนถึเกาะกูด
*** รวมแล้วในคราวนี้ ไทยเสียเนื้อที่ประมาณ 66,555 ตารางกิโลเมตร และไทยเสียดินแดนอีกครั้งทางด้านขวาของแม่น้ำโขง คืออาณาเขตไชยบุรี และ จำปาศักดิ์ตะวันตก ในวันที่23 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2450
การเสียดินแดนให้อังกฤษ
*** เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน (5เมืองเงี้ยว และ 13เมืองกะเหรี่ยง) ให้อังกฤษ เมื่อวันที่ 27 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2435เสียดินแดน รัฐไทรบุรี รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู และรัฐปะลิส ให้อังกฤษ เมื่อ วันที่10 เดือนมีนาคม พ.ศ.2451 (นับอย่างใหม่ พ.ศ. 2452) เพื่อขอกู้เงิน 4ล้านปอนด์ทองคำอัตราดอกเบี้ย 4เปอร์เซ็น ต่อปี มีเวลาชำระหนี้ 40ปี
พระบรมราชอิสริยยศ
*** พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ (วันที่20 เดือนกันยายน พ.ศ.2396 - วันที่21 เดือนมีนาคม พ.ศ.2404)*** สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ (วันที่21 เดือนมีนาคม พ.ศ.2404 - วันที่15 เดือนมีนาคม พ.ศ.2410)
*** สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร กรมขุนพินิตประชานาถ (วันที่15 เดือนมีนาคม พ.ศ.2410 - วันที่11 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2411)
*** พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว (วันที่11 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2411 - วันที่16 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2416)
***พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (วันที่16 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2416 - วันที่23 เดือนตุลาคม พ.ศ.2453)
พระราชลัญจกรประจำพระองค์
*** พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว เป็นตรางา ลักษณะกลมรี กว้าง 5.5 เซนติเมตร ยาว 6.8 เซนติเมตร โดยมีตรา พระเกี้ยว หรือ จุลมงกุฏ ซึ่งประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า 2ชั้น มีฉัตรบริวารตั้งขนาบทั้ง 2 ข้าง ถัดออกไปจะมีพานแว่นฟ้า 2ชั้น ทางด้านซ้ายวางสมุดตำรา และทางด้านขวาวางพระแว่นสุริยกานต์เพชร โดยพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นการเจริญรอยจำลองมาจากพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว*** การสร้างพระลัญจกรประจำพระองค์นั้น จะใช้แนวคิดจากพระบรมนามาภิไธยก่อนทรงราชย์ นั่นคือ "จุฬาลงกรณ์" ซึ่งแปลว่า เครื่องประดับศีรษะ หรือ จุลมงกุฎ ดังนั้น จึงเลือกใช้ พระเกี้ยว หรือ จุลมงกุฎ มาใช้เป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์
ธงประจำพระอิสริยยศตราประจำพระองค์การทูล ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท การแทนตน ข้าพระพุทธเจ้า การขานรับ พระพุทธเจ้าข้าขอรับ/เพคะพระราชลัญจกรประจำพระองค์
พระพุทธรูปประจำพระองค์
*** พระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์ ซึ่งโปรดให้สร้างขึ้นแทน ปางไสยาสน์เพราะทรงพระราชสมภพวันอังคาร โดยทรงให้สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2466 – พ.ศ.2453 สร้างด้วยทองคำ ความสูงรวมฐาน 34.60เซนติเมตรพระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระพุทธรูปปางขัดสมาธิเพชร พระเกตุมาลาเป็นเปลวเพลิง เหนือพระเศียรกางกั้นด้วยฉัตรปรุทอง 3 ชั้น สร้างราว พ.ศ. 2453-2468 หน้าตักกว้าง 7.2 นิ้ว สูงเฉพาะองค์พระ 11.8เซนติเมตร สูงรวมฉัตร 47.3 เซนติเมตร
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ในประเทศ
*** พ.ศ.2425 
*** พ.ศ.2411

*** พ.ศ.2443

*** พ.ศ.2452

*** พ.ศ.2412

*** พ.ศ.2425

*** พ.ศ.2425
เหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน (ร.ด.ม.(ผ))
*** พ.ศ.2425
เหรียญจักรมาลา (ร.จ.ม.)
*** พ.ศ.2447
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 4 ชั้นที่1 (ม.ป.ร.1)
*** พ.ศ.2444
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5 ชั้นที่1 (จ.ป.ร.1)
*** พ.ศ.2440
เหรียญราชรุจิทอง รัชกาลที่ 5 (ร.จ.ท.5)

*** พ.ศ.2425

*** พ.ศ.2447

*** พ.ศ.2444

*** พ.ศ.2440

เขียนวันที่20 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564
โทร 0983699890 เบอร์ไลน์ 0805855611 Line ID vaya07 Facebook พรชัย เลาวะยานนท์
นายพรชัย เลาวะยานนท์
ธนาคารกสิกรไทย สาขาบิ๊กซี เพชรเกษม2 พุทธมณฑลสาย3 ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 020 - 1 - 33934 - 0
ธนาคารกรุงไทย สาขาเพชรเกษม 77/2 หนองแขม บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 191 - 0 - 68235 - 7
ธนาคารกรุงไทย สาขาเพชรเกษม 77/2 หนองแขม บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 191 - 0 - 68235 - 7
ร้านพรชัยศูนย์พระแท้ 1023/67 หมู่บ้านศรีเพชร ซอย21 ถนนเพชรเกษม106 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร10160
คลิกที่ ที่อยู่ดูสถานที่ตั้งร้านพรชัยพระแท้
คลิกที่ ที่อยู่ดูสถานที่ตั้งร้านพรชัยพระแท้
✱พระทุกองค์ที่ระบุราคาไว้ในร้านออนไลน์นี้ ยังไม่คิดรวมราคาค่าบริการส่ง EMS อีก 50 บาท✱
![]() |
G1701 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)หลังพระพุทธชินราช เนื้อกะไหล่เงิน ที่ระลึกวางศิลาฤกษ์ วัดคลองคุรุ บ้านคลองครุ ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 600 บาท |
![]() |
G1703 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)หลังชฎา เนื้อทองแดง วัดเจ้าอาม ถนนบางขุนนนท์ แขวง บางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 600 บาท |
![]() |
G1705 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)หลังร.ศ.212 เนื้อกะไหล่ทอง วัดนิมมานรดี ซอยบางแค 1 ถนนบางแค แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 600 บาท |
![]() |
G1706 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)หลังครุฑ เนื้อกะไหล่ทอง วัดโอภาสี แขวง บางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร 600 บาท |
![]() |
G1707 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)หลังพระสมเด็จ เนื้อกะไหล่ทอง ที่ระลึกสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่5 ปี2533 จังหวัดอ่างทอง 600 บาท |
![]() |
G1708 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)หลังพระสมเด็จ เนื้อกะไหล่ทอง ที่ระลึกสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่5 ปี2533 จังหวัดอ่างทอง 600 บาท |
![]() |
G1711 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)หลังพระสมเด็จ เนื้อทองเหลือง ที่ระลึกสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่5 ปี2533 จังหวัดอ่างทอง 600 บาท |
![]() |
G1712 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)หลังสมเด็จพระศรีเมืองทอง เนื้อทองเหลือง วัดต้นสน ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง 600 บาท |
![]() | |
|
![]() |
G1714 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เนื้อกะไหล่ทอง วัดพระพุทธบาท ครบ 350ปี ปี2167 - ปี2517 ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี 600 บาท |
![]() |
G1715 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เนื้อกะไหล่ทอง วัดพระพุทธบาท ครบ 350ปี ปี2167 - ปี2517 ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี 600 บาท |
![]() |
G1716 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เนื้อกะไหล่ทอง วัดพระพุทธบาท บูรณะปฎิสังขรณ์พระมณฑป ปี2537 ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี 600 บาท |
![]() |
G1717 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เนื้อกะไหล่ทอง วัดพระพุทธบาท ครบ 350ปี ปี2167 - ปี2517 ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี 600 บาท |
![]() |
G1718 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เนื้อกะไหล่ทอง วัดพระพุทธบาท บูรณะปฎิสังขรณ์พระมณฑป ปี2537 ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี 600 บาท |
![]() |
G1719 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เนื้อกะไหล่ทอง วัดพระพุทธบาท ครบ 350ปี ปี2167 - ปี2517 ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี 600 บาท |
![]() |
G1720 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เนื้อกะไหล่ทอง วัดพระพุทธบาท ครบ 350ปี ปี2167 - ปี2517 ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี 600 บาท |
![]() |
G1721 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เนื้อกะไหล่ทอง วัดพระพุทธบาท ครบ 350ปี ปี2167 - ปี2517 ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี 600 บาท |
![]() |
G1721 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)หลังพระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) 10ปี เนื้อทองแดง วัดไผ่ล้อม ปี2541 ตำบลจันทนิมิต อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี 600 บาท |
![]() |
G1722 เหรียญรัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)หลังสมเด็จพุฒาจารย์โตพรหมรังสี เนื้อทองแดง วัดหนองสรวง รุ่นยกช่อฟ้าอุโบสถ ตำบลหนองสรวง อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี 600 บาท |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น